Case study Squeeze at Q house Sathorn
รายได้
- นับเป็น Ticket 80-100 บาท /Bill
- ไม่น้อยกว่า 150 Ticket/วัน อาจขึ้นไปได้ถึง 200 Tickets
- ยอดขาย 150 tickets X 80 บาท = 12,000 บาท
***เป็นการคิดยอดขายแบบ Conservative ถ้าใช้ 100 บาท/bill จะได้ผลตอบแทนดีขึ้นกว่าเยอะ***
- เปิด 6 วัน/สัปดาห์ X 12,000 บาท X 4 weeks = 288,000 บาท/เดือน
Cost of goods sold
- ค่าผลไม้ น้ำ น้ำแข็ง ต่างๆ = 47%
ค่าเช่า
- 13 sqm X 3,700 บาท/sqm = 48,100 บาท/เดือน
- พนักงาน 7 am - 7 pm ทำงาน 1 กะ + OT (12,000 บาท + OT 2,000 บาท) = 14,000 X 2 คน = 28,000
- ค่าน้ำ+ไฟ 10,000 บาท
- ค่า Supply แก้วหลอด ทิชชู่ ต่างๆ 7,000 บาท
- etc 3,500 บาท
รวมค่าใช้จ่าย Fixed cost = 96,600 บาท
สรุป
ยอดขาย 288,000 บาท
CGS 135,360 บาท (47% ของยอดขาย)
Gross profit 152,640 บาท (เหลือ 53%)
Fix cost 68,600 บาท (ค่าเช่า, น้ำไฟ, ค่า supply, etc)
Variable cost 28,000 บาท (พนักงาน 2 คน ทำงานกะเดียว + OT)
กำไร 56,040 บาท
ค่า Royalty fee 8,640 บาท (3%)
ค่า Mkt fee 8,640 บาท (3%)
กำไรหลัง 38,760 บาท
*** แต่ถ้าใส่ตัวแปร ทั้งราคาขายต่อบิล (80, 90 และ 100 บาท) และยอดบิลต่อวัน (150 และ 180 บาท)
ถ้าเป็นสาขาใหญ่ตาม รพ กำไรน่าจะขึ้นไปได้อีกเยอะ เพราะมีรายได้จากกระเช้าของขวัญ และอย่างปิยการุณ ยอดบิลต่อวันอาจจะขึ้นไปเฉลี่ย 150 - 200 บาท เพราะมีบิลค่ากระเช้า 600-800 บาท
งบลงทุนรวมค่า Franchise + ก่อสร้าง
ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นพี่ คิดขนาดกลางๆใช้เงินลงทุนประมาณ 2,500,000 - 3,000,000 บาท
ถ้าได้พื้นที่ในสาขาที่ดีๆ อาจจะคืนทุนได้ภายใน 1.5 - 2.0 ปี
Key success
- การหาพื้นที่ ที่มีศักยภาพ ตามโรงพยาบาล
- การบริหารพนักงานให้มีแรงจุงใจอยู่เสมอ
- ลดการ Turnover
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น