- SET เปิด 4 Jan 2016 ที่ 1,263.41 จุด
SET ปิด 30 Dec 2016 ที่ 1,542.94 จุด
เพิ่มขึ้น 279.53 จุด
คิดเป็นเพิ่มขึ้น 19.79%
Jirayukul Port 4 Jan 2016 ที่ NAV = 8.2450 หน่วย
Jirayukul Port 30 Dec 2016 ที่ NAV = 9.2828 หน่วย
เพิ่มขึ้น 1.0378 หน่วย
คิดเป็นเพิ่มขึ้น 12.58% รวมปันผลที่เอากลับเข้าไป Reinvest พร้อมซื้อหุ้นเพิ่ม
เรียงตาม Colume: วันสิ้นสัปดาห์, มูลค่าหุ้น, เงินสด, มูลค่าหุ้น+เงินสด, มูลค่า NAV, จำนวนหน่วย NAV และ % การเพิ่มขึ้นของ NAV
- ถ้ามอง SET ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปิดปลายปี โดยไม่มองความผันผวนระหว่างทางจะเห็นว่าเป็นขาขึ้นเต็มๆ แต่ถ้ามองไส้ในเข้าไปจริงๆจะมีความผันผวนหนักๆประมาณ 3-4 ครั้งตลอดปี เช่น Braxit, ข่าวในหลวง ทั้งข่าวลือและตอนเกิดขึ้นจริง
- กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของปีนี้ที่ควรทำคือ เลือกหุ้นจากมูลค่าแล้วถือยาว โดยไม่สนใจความผันผวนระหว่างปี เป็นการมองแบบย้อนหลังกลับไปเป็นเรื่องง่าย มากกว่าการกำหนดกลยุทธที่ควรต้องทำในปีข้างหน้า โดยที่เราก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
- ตอนต้นปีทุกคนยังเจ็บมากจากปี 2015 ที่เป็นขาลงตลอดปี เนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้หุ้นหลายๆตัวตกหนัก และราคาน้ำมันเริ่มค่อยๆปรับตัวขึ้นช่วงต้นปี หลายๆคนยังไม่มั่นใจว่ามันจะขึ้นมาได้จริงๆแค่ไหน โดยยังมีความกังวลและไม่แน่ใจ เลยยังไม่กล้าเพิ่ม position เข้าไปเต็มที่
- กว่าจะมาเริ่มตั้งตัวได้ก็เริ่มเข้าไปช่วงหลังสงกรานต์ เห็นได้จากการถือเงินสดเริ่มน้อยลง เป็นมาเพิ่มจำนวนหุ้นมากขึ้น
- ปีนี้มีการปรับกลยุทธจาก Trend follower คือการซื้อหุ้นตาม Momentum คือ หุ้นยิ่งขึ้น ยิ่งซื้อ ประมาณซื้อแพงและไปขายแพงกว่า ข้อดีคือได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่เวลา stoploss ก็โดนเต็มๆ
- เปลี่ยนมาเป็น หาแนวรับของหุ้น และใช้พื้นฐานประกอบ เพื่อยืนยันจุดซื้อ ข้อดีขึ้น เวลาที่หุ้นปรับตัวลง เราจะไม่ค่อยโดนเยอะ แต่ก็จะไม่ได้คำใหญ่ๆเช่นกัน
- อีกจุดที่ปรับเพิ่มขึ้นคือการบริหารหน้าตัก (Money managment) จะมีการคำนวณไว้ก่อนการซื้อทุกครั้งว่า ถ้าผิดทางเราจะมีstop loss ที่ไหนอย่างไร แล้วจึงนำเอา ระยะห่างระหว่างราคาซื้อและจุด stoploss มาคำนวณ เช่น ถ้าเราผิดทางครั้งนึง เราจะต้องไม่ขาดทุนกระทบพอร์ตเกิน 0.5% เช่น สมมุติ พอร์ตมูลค่า 1 ล้านบาท ซื้อหุ้นครั้งนี้ 10 บาท มีจุด stoploss ที่ 9.50 บาท คิดเป็น 0.50 บาท (หรือ 5% cutloss) เราจะขาดทุนได้ไม่เกิน 0.50% ของพอร์ตคือ 5,000 บาท ดังนั้น เราจะเข้าไปซื้อหุ้นที่ 10 บาท จำนวน 10,000 หุ้น เมื่อตลาดไม่เป็นใจหลุดลงมา 9.50 บาท เราก็จะ stoploss ทำให้ขาดทุนไม้นี้ที่ 5,000 บาท
- อีกจุดนึงที่เพิ่มขึ้นมาในปีนี้คือการทำกำไรตามเป้าหมาย เช่น เมื่อเราตั้งจุด Stoploss ที่ 0.50 เราจะเรียรกมันว่า 1R (1Risk) และเมื่อได้กำไรจนถึง 2R เราจะทำกำไรก่อน 1/3, ถึง 3R จะทำกำไรอีก 1/3 และเหลือ 1/3 สุดท้ายเกาะไปเรื่อยๆตามแนวโน้ม
ตัวอย่างเช่น ซื้อหุ้น 10 บาท มี stoploss ที่ 9.50 บาท มี 1Risk = 0.50 บาท ดังนั้นถ้าหุ้นลงมาถึง 9.50 เราก็ stoploss และถ้าหุ้นขึ้นไปถึง 11 บาท (10 + 2R) เราจะออก 1/3 และเมื่อถึง 11.5 (10 + 3R) เราจะออกอีก 1/3 และที่เหลือเราจะปล่อยมันไปตามแนวโน้ม
ข้อดีคือหุ้นจะมีการสวิงขึ้นลง เราก็ทำกำไรกับมันไปตามการเหวี่ยงขึ้นลง
ข้อเสียคือเราอาจจะไม่ได้กินเต็มคำ เมื่อหุ้นมันขึ้นไปหลายๆเท่า
- ประสบการณ์ช่วงเหตุการณ์สวรรณคตของในหลวง เป็นประสบการณ์ล้ำค่ามากๆ ซึ่งเมื่อจบสัปดาห์นั้น ได้รีบเขียนไดอารีเพื่อบอกตัวเองถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอดช่วงสัปดาห์ ลองอ่านดูตาม Link ด้านล่างนี้
http://saengpol.blogspot.com/2016/10/fri-14-oct-2016-big-learing-after-all.html
- อีกสิ่งนึงที่ได้พัฒนาขึ้นจากปีก่อน ซึ่งจริงๆก็ตั้งใจมาหลายปีแล้วคือการไม่ต้องอยู่เฝ้าหน้าจอ แต่เป็นการ Plan my trade (ตอนกลางคืน) and trade my plan (ตอนก่อนตลาดเปิด) เน้นการใช้ราคาปิดเป็น Tricker ในการจะ action แต่ละครั้ง และสรุปแผนการเทรดในแต่ละวัน ทำเป็นสรุปทุกวันที่ตลาดเปิด จากกลางๆปีมา 125 วัน จนถึงสิ้นปี
เช่น
http://saengpol.blogspot.com/2016/11/tue-15-nov-2016-sell-true-bkd-kkp-sappe.html
http://saengpol.blogspot.com/2016/10/tue-25-oct-2016-buy-ps-rs-mtls-take.html
http://saengpol.blogspot.com/2016/09/mon-19-sept-2016-buy-tpipl-uniq-and-psl.html
- ปีหน้าตั้งใจจะเน้นที่หุ้นพื้นฐาน เจาะลึก business model ให้ชัดเจน ซื้อเมื่อราคาเหมาะสมแล้วถือให้ยาวขึ้นกว่านี้
- คาดว่าจะพยายามรักษาผลตอบแทนให้ได้ปีนึงประมาณ 10-12% และที่สำคัญจะพยายามควมคุมความเสี่ยงมากกว่านี้ เพื่อให้ Port ไม่สวิงขึ้นลงมากเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น